สุสานเพื่อนรัก Rock N Roll
สุสานเพื่อนรัก Rock N Roll
หลังจากเบสหายไปอยู่อเมริกากว่า17ปี พอกลับมาได้สองเดือน
เขาก็โทรนัดผมให้ไปหาที่บ้าน จากความทรงจำห้องนอนของเบส
สมัยโน้นจะเต็มไปด้วยเทปคาสเซตเพลงร็อค และหนังสือกีต้าร์ เกลื่อนทั่วห้อง
วันเสาร์-อาทิตย์ เรามักมาหัดเล่นลูกโซโล่เพลงที่ชอบ หรือที่ไปได้ไปเห็นมา
เวลาไปเที่ยวร็อคผับโดยใช้เจ้า Washburn กีต้าร์ตัวเก่งของเขา เบสคลั่งไคล้ตัวนี้
เพราะเห็นในหนังสือGuitar Player
หน้าปกเป็น Nuno Bettencourtสุดหล่อแห่งวง extremeยืนกอดเจ้ากีต้าร์ตัวนี้ถ่ายขึ้นปก
เขาเลยรีบถือหนังสือบึ่งไปหาตามร้านแถวเวิ้งนครเกษม อยู่ครึ่งค่อนวันกว่าจะได้มัน
มาครอบครอง
ภาพความสุขเมื่อครั้งกระโน้นยังตรึงตราประทับจิตผมอยู่อย่างเด่นชัดไม่เคยเลือน
ไปตามกาลเวลาแม้แต่น้อย
......................................................
บ่ายวันเสาร์ผมไปถึงตามเวลานัด เบสบอกให้ผมขึ้นไปนั่งรอที่ห้องของเขา
เดี๋ยวเขาจะออกไปซื้ออะไรมาดื่มกันสักหน่อย พอให้กรึ่มๆ
เพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการสนทนา
"ไม่ได้เจอกันนาน คงต้องคุยกันนานหน่อย" ห้องนอนของเขาก็คงยังเป็นห้องเดิม
ห้องที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความสนุกสนานของเรา
เมื่อหลายสิบปีก่อน ผมค่อยๆทิ้งตัวลงบนเตียงกลางห้อง ค่อยๆมองสำรวจ
กวาดสายตาไปรอบๆห้องอย่างค่อยๆพิจารณา ภาพเด็กหนุ่มนั่งเล่นกีต้าร์
อีกคนก็ช่วยกรอเทปเพลงกลับไปกลับมา พร้อมกับเสียงเพลงร็อคแอนด์โรล
ดังกระหึ่มอึกทรึก มันค่อยๆผุดขึ้น และก้องกังวาลอยู่ในโสตประสาทของผมอย่างชัดเจน
ทุกถ้อยสำเนียง ผมรู้สึกอิ่มเอม เคลิบเคลิ้มจนเกือบจะเผลอหลับ
................................................................
แต่ก่อนที่หนังตาจะปิดลง สายตาก็สะดุดเข้ากับหนังสือกองโตเกือบร้อยเล่ม
โดยไม่ได้ตั้งใจแต่มีเล่มหนึ่งที่คุ้นมาก จึงลุกขึ้นไปหยิบมาดู
มันเป็นหนังสือภาษาอังกฤษปกสีชมพู ที่เบสโทรบอกให้ซื้อไปฝาก
ตอนรู้ว่าผมอยู่ร้านหนังสือเมื่อประมาณสมัยเรียนจบใหม่ๆ
ก่อนที่เขาจะไปดูแลธุรกิจของครอบครัวที่เชียงราย
พอเห็นปก ก็ทำให้นึกถึงวันที่เราเมาจนนอนแผ่หราอยู่ริมระเบียงบ้าน
คุยกันเรื่องต่างๆจนมาถึงหนังสือเล่มนี้ ผมไม่รู้หรอกว่ามันเกี่ยวกับอะไร
เพราะไม่สันทัดภาษาอังกฤษ
เบสบอกว่าชอบมาก พออ่านจบแล้ว ทิ้งช่วงอีกเดือน สองเดือน ก็กลับมาอ่านใหม่
เป็นอย่างนี้ประจำ
.....................................................................
....."หนังสือที่ไม่ถูกอ่านก็มีค่าแค่สุสานตัวอักษรหลายหมื่นตัวที่ไม่มีใครปลุกวิญญาณ
ของพวกมันให้ฟื้นมาโลดแล่น" ... เขาเคยบอกผมอย่างนั้น.........
จู่ๆ ผมก็น้ำตาคลอ เมื่อเห็นว่าสภาพหนังสือยังดูใหม่ เขาคงรักหนังสือที่ผมซื้อให้มาก
จึงทะนุถนอมดูแลอย่างดี ความเป็นเพื่อนของเราช่างงดงามจริงๆ
ผมแทรกจมูกเข้าไปที่กลางเล่ม สูดกลิ่นหมึกจนแน่นปอด ผมคิดถึงความผูกพันธุ์
น้ำใจ มิตรภาพความเป็นเพื่อนและเรื่องราวเก่าๆระหว่างเราเหลือเกิน
ผมค่อยๆกรีดหนังสือจากด้านหลังไปหน้า หลายหน้าพร้อยไปด้วยปากกาไฮไลท์สีเขียว
และลายมือของเขาที่เขียนแปลบางประโยคยากที่ต้องใช้ดิคชันนารีช่วย
และเมื่อคิดว่าเจ้าตัวหนังสือเหล่านี้ทุกตัว ล้วนเคยผ่านสายตาและเข้าไปในหัวใจ
ของเบสอย่างละเมียดละไมน้ำตาระลอกใหม่ก็ไหลออกมา
เขาชอบหนังสือที่เพื่อนซื้อให้ถึงเพียงนี้ อาว์ว์ว์ว์ว์.........
.......................................................
แล้วผมก็มาหยุดกึกในหน้าที่ 69 ซึ่งเป็นหน้าว่างก่อนขึ้นบทใหม่ "เบส รัก กบ สุดหัวใจ"
ลายมือของเขาเขียนด้วยปากกาน้ำเงิน พร้อมกับมีภาพสเกตเป็นรูปผมกับเขาจูปปากกัน.!!!!!
ผมรู้สึกเหมือนน้ำลายจุกคอ ปิดเปลือกตาแน่นเพื่อไล่น้ำตาระลอกล่าสุดให้หมดไป
ก่อนระลอกใหม่ที่คราวนี้ถาโถมเหมือนน้ำป่าไหลหลาก รุนแรงจนทำผมสะอื้น
ความรู้สึกที่มีมาตลอดว่าเรารักกันแบบเพื่อนชาวร็อคแอนด์โรลนั้น
ได้ถูกเฉลยความจริงแล้วที่หน้า 69 นี้เอง..!!!!!
ผมปาดน้ำตาด้วยหลังมือที่ถือหนังสือ รู้สึกโหวงเหวงในทรวงอก
ความรู้สึกดีๆแบบเพื่อนต่อเพื่อนของผมที่มีให้เขา มันได้โบยบินออกหน้าต่าง
จากไปแบบไม่มีวันหวนกลับมา เหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านไปตามกาลเวลา คงไม่มีวันคืนกลับมาได้อีก วันนั้นเป็นวันที่ผมได้เสียเพื่อนรักของผมไป และไม่มีวันที่กลับมาเหมือนเดิม
ได้อีกตลอดกาล
........................................................................
แต่เบสก็ไม่ได้จากผมไปไหนไกล..!!!!!!!!!!!
เพราะผมเพียงเสียเพื่อนไป แต่กลับได้คู่รักมาแทน บางครั้งเราก็เปลื่ยนบทบาท
ผลัดกันเป็นผัวเป็นเมีย ซึ่งก็แล้วแต่จังหวะว่า "ใครพลิกตัวได้ไวกว่ากัน"..!!!!!!!
................. อีกบคึกคัก คิกคักสะระณัง.....................
เขาก็โทรนัดผมให้ไปหาที่บ้าน จากความทรงจำห้องนอนของเบส
สมัยโน้นจะเต็มไปด้วยเทปคาสเซตเพลงร็อค และหนังสือกีต้าร์ เกลื่อนทั่วห้อง
วันเสาร์-อาทิตย์ เรามักมาหัดเล่นลูกโซโล่เพลงที่ชอบ หรือที่ไปได้ไปเห็นมา
เวลาไปเที่ยวร็อคผับโดยใช้เจ้า Washburn กีต้าร์ตัวเก่งของเขา เบสคลั่งไคล้ตัวนี้
เพราะเห็นในหนังสือGuitar Player
หน้าปกเป็น Nuno Bettencourtสุดหล่อแห่งวง extremeยืนกอดเจ้ากีต้าร์ตัวนี้ถ่ายขึ้นปก
เขาเลยรีบถือหนังสือบึ่งไปหาตามร้านแถวเวิ้งนครเกษม อยู่ครึ่งค่อนวันกว่าจะได้มัน
มาครอบครอง
ภาพความสุขเมื่อครั้งกระโน้นยังตรึงตราประทับจิตผมอยู่อย่างเด่นชัดไม่เคยเลือน
ไปตามกาลเวลาแม้แต่น้อย
......................................................
บ่ายวันเสาร์ผมไปถึงตามเวลานัด เบสบอกให้ผมขึ้นไปนั่งรอที่ห้องของเขา
เดี๋ยวเขาจะออกไปซื้ออะไรมาดื่มกันสักหน่อย พอให้กรึ่มๆ
เพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการสนทนา
"ไม่ได้เจอกันนาน คงต้องคุยกันนานหน่อย" ห้องนอนของเขาก็คงยังเป็นห้องเดิม
ห้องที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความสนุกสนานของเรา
เมื่อหลายสิบปีก่อน ผมค่อยๆทิ้งตัวลงบนเตียงกลางห้อง ค่อยๆมองสำรวจ
กวาดสายตาไปรอบๆห้องอย่างค่อยๆพิจารณา ภาพเด็กหนุ่มนั่งเล่นกีต้าร์
อีกคนก็ช่วยกรอเทปเพลงกลับไปกลับมา พร้อมกับเสียงเพลงร็อคแอนด์โรล
ดังกระหึ่มอึกทรึก มันค่อยๆผุดขึ้น และก้องกังวาลอยู่ในโสตประสาทของผมอย่างชัดเจน
ทุกถ้อยสำเนียง ผมรู้สึกอิ่มเอม เคลิบเคลิ้มจนเกือบจะเผลอหลับ
................................................................
แต่ก่อนที่หนังตาจะปิดลง สายตาก็สะดุดเข้ากับหนังสือกองโตเกือบร้อยเล่ม
โดยไม่ได้ตั้งใจแต่มีเล่มหนึ่งที่คุ้นมาก จึงลุกขึ้นไปหยิบมาดู
มันเป็นหนังสือภาษาอังกฤษปกสีชมพู ที่เบสโทรบอกให้ซื้อไปฝาก
ตอนรู้ว่าผมอยู่ร้านหนังสือเมื่อประมาณสมัยเรียนจบใหม่ๆ
ก่อนที่เขาจะไปดูแลธุรกิจของครอบครัวที่เชียงราย
พอเห็นปก ก็ทำให้นึกถึงวันที่เราเมาจนนอนแผ่หราอยู่ริมระเบียงบ้าน
คุยกันเรื่องต่างๆจนมาถึงหนังสือเล่มนี้ ผมไม่รู้หรอกว่ามันเกี่ยวกับอะไร
เพราะไม่สันทัดภาษาอังกฤษ
เบสบอกว่าชอบมาก พออ่านจบแล้ว ทิ้งช่วงอีกเดือน สองเดือน ก็กลับมาอ่านใหม่
เป็นอย่างนี้ประจำ
.....................................................................
....."หนังสือที่ไม่ถูกอ่านก็มีค่าแค่สุสานตัวอักษรหลายหมื่นตัวที่ไม่มีใครปลุกวิญญาณ
ของพวกมันให้ฟื้นมาโลดแล่น" ... เขาเคยบอกผมอย่างนั้น.........
จู่ๆ ผมก็น้ำตาคลอ เมื่อเห็นว่าสภาพหนังสือยังดูใหม่ เขาคงรักหนังสือที่ผมซื้อให้มาก
จึงทะนุถนอมดูแลอย่างดี ความเป็นเพื่อนของเราช่างงดงามจริงๆ
ผมแทรกจมูกเข้าไปที่กลางเล่ม สูดกลิ่นหมึกจนแน่นปอด ผมคิดถึงความผูกพันธุ์
น้ำใจ มิตรภาพความเป็นเพื่อนและเรื่องราวเก่าๆระหว่างเราเหลือเกิน
ผมค่อยๆกรีดหนังสือจากด้านหลังไปหน้า หลายหน้าพร้อยไปด้วยปากกาไฮไลท์สีเขียว
และลายมือของเขาที่เขียนแปลบางประโยคยากที่ต้องใช้ดิคชันนารีช่วย
และเมื่อคิดว่าเจ้าตัวหนังสือเหล่านี้ทุกตัว ล้วนเคยผ่านสายตาและเข้าไปในหัวใจ
ของเบสอย่างละเมียดละไมน้ำตาระลอกใหม่ก็ไหลออกมา
เขาชอบหนังสือที่เพื่อนซื้อให้ถึงเพียงนี้ อาว์ว์ว์ว์ว์.........
.......................................................
แล้วผมก็มาหยุดกึกในหน้าที่ 69 ซึ่งเป็นหน้าว่างก่อนขึ้นบทใหม่ "เบส รัก กบ สุดหัวใจ"
ลายมือของเขาเขียนด้วยปากกาน้ำเงิน พร้อมกับมีภาพสเกตเป็นรูปผมกับเขาจูปปากกัน.!!!!!
ผมรู้สึกเหมือนน้ำลายจุกคอ ปิดเปลือกตาแน่นเพื่อไล่น้ำตาระลอกล่าสุดให้หมดไป
ก่อนระลอกใหม่ที่คราวนี้ถาโถมเหมือนน้ำป่าไหลหลาก รุนแรงจนทำผมสะอื้น
ความรู้สึกที่มีมาตลอดว่าเรารักกันแบบเพื่อนชาวร็อคแอนด์โรลนั้น
ได้ถูกเฉลยความจริงแล้วที่หน้า 69 นี้เอง..!!!!!
ผมปาดน้ำตาด้วยหลังมือที่ถือหนังสือ รู้สึกโหวงเหวงในทรวงอก
ความรู้สึกดีๆแบบเพื่อนต่อเพื่อนของผมที่มีให้เขา มันได้โบยบินออกหน้าต่าง
จากไปแบบไม่มีวันหวนกลับมา เหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านไปตามกาลเวลา คงไม่มีวันคืนกลับมาได้อีก วันนั้นเป็นวันที่ผมได้เสียเพื่อนรักของผมไป และไม่มีวันที่กลับมาเหมือนเดิม
ได้อีกตลอดกาล
........................................................................
แต่เบสก็ไม่ได้จากผมไปไหนไกล..!!!!!!!!!!!
เพราะผมเพียงเสียเพื่อนไป แต่กลับได้คู่รักมาแทน บางครั้งเราก็เปลื่ยนบทบาท
ผลัดกันเป็นผัวเป็นเมีย ซึ่งก็แล้วแต่จังหวะว่า "ใครพลิกตัวได้ไวกว่ากัน"..!!!!!!!
................. อีกบคึกคัก คิกคักสะระณัง.....................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น